ผ้าบางชนิดนั้นเป็นผ้าที่ต้องการดูแลรักษาเป็นพิเศษ เพราะมีใยผ้าที่บอบบาง และไม่สามารถทำความสะอาดด้วยวิธีการซักในน้ำแบบธรรมดาทั่วไปได้ ดังนั้น จึงมีวิธีการทำความสะอาดที่เรียกกันว่าซักแห้ง ซึ่งเป็นวิธีการที่มนุษย์ค้นพบตั้งแต่สมัยโรมัน (จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบใน Pompeii) โดยคนในสมัยนั้นมักจะใช้แอมโมเนียที่สกัดจากปัสสาวะของสัตว์ ทำการซักทำความสะอาดเสื้อคลุมขนแกะ
สำหรับการเริ่มต้นของการซักแห้งสมัยใหม่เริ่มต้นโดยบริษัท Jolly Belin ซึ่งเปิดทำการในกรุงปารีสในปี ค.ศ. 1840 (พ.ศ. 2383) โดยใช้น้ำมันสนในการซัก ซึ่งค้นพบวิธีการนี้เนื่องจาก การที่น้ำมันสนหกลงบนเสื้อผ้าโดยบังเอิญ และพบว่าเกิดการระเหยอย่างรวดเร็วและยังสามารกำจัดคราบสกปรกบนผ้านั้นได้ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า การซักแห้ง เนื่องมากจากของเหลวหรือสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการทำความสะอาดมีน้ำน้อยหรือไม่มีเลย และไม่สามารถซึมซับเข้าไปในเส้นใยได้เหมือนน้ำ
สำหรับปัจจุบัน มีการใช้เคมีภัณฑ์ หรือน้ำยาซักแห้งสำหรับซักแห้งหลากหลาย ดังนี้
ใช้น้ำยาซักแห้งแบบพิเศษ เป็นตัวทำละลายไขมัน และคราบสกปรกบนเนื้อผ้า ที่เป็นที่รู้จักกันก็น้ำยาเปอร์คลอโรเอทิลีน (Perchloroethylene) ซึ่งมีฤทธิ์ในการกำจัดคราบสกปรกบนเนื้อผ้าโดยที่ไม่ทำให้ใยผ้าเสียหาย หรือตัวเสื้อผ้าเกิดการเสียรูปทรง ไม่มีการพองตัว หรือหดตัวของเสื้อผ้า
ใช้น้ำยาซักแห้ง(อีกประเภท) ซึ่งวิธีการนี้มีวิธีการซักแตกต่างจากวิธีการแรก ตรงที่ต้องซักผ้าในน้ำสะอาดก่อน (การซักนั้นให้ซักไปเลยห้ามแช่โดยเด็ดขาด) จากนั้นฉีดพ่นด้วยน้ำยาซักแห้งประเภทนี้ให้ทั่วบริเวณ เคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งคือถ้าเป็นผ้าไหมให้ฉีดน้ำยาอัดกลีบลงไปด้วย จากนั้นนำเสื้อผ้าไปใส่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น (ไม่ควรมีกลิ่น) ประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วให้นำออกมารีดทับด้วยเตารีด ใช้ความแรงที่เหมาะสมกับผ้านั้นๆ วิธีนี้เป็นที่นิยมสำหรับร้านซักรีดมาก เพราะไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรมากมาย
ใช้เครื่องซักแห้งปัจจุบันมีเครื่องซักผ้า ด้วยวิธีการซักแห้งออกมาขายแล้ว ซึ่งก็มีหลากหลายยี่ห้อสามารถหาซื้อได้ตามร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป หลักการของเครื่องซักแห้งคือการใช้สารทำละลายประเภทซิลิโคน (Silicone) หรือไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon) ข้อดีคือสะดวกเพราะเครื่องประเภทนี้มักจะมีวิธีการซักที่ถนอมเนื้อผ้า แต่ข้อเสียก็คือราคาแพงมาก เหมาะสำหรับใช้ในร้านซักรีด หรือโรงแรมที่มีบริการซักรีดมากกว่า
และสำหรับขั้นตอนซักแห้งทั่วไปแล้ว จะมีขั้นตอนดังนี้
ก่อนลงเครื่อง ตรวจเช็คให้ดีก่อนว่าผ้ามีปักเลื่อมหรือมีกระดุมที่สามารถละลาย เมื่อโดนน้ำมันอุณหภูมิสูง หรือจะต้องเช็คสิ่งที่ปักบนเสื้อผ้านั้นว่าจะละลายหรือไม่ ไม่ใช่ว่าผ้าทุกชนิดนั้นจะสามารถนำมาซักแห้งได้หมด และตรวจเช็คให้ดีว่าไม่มีอะไรติดอยู่ในกระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกง ถ้ามีให้นำออกมา
ตรวจสอบรอยสกปรกและรอยเปื้อนเป็นน้ำหรือเป็นน้ำมัน หากเป็นน้ำจึงใช้น้ำกำจัดคราบออก และเป่าตรงจุดนั้นจนแห้ง แต่หากเป็นน้ำมันก็จะใช้น้ำมันเพื่อขจัดรอยเปื้อน
นำผ้าไปใส่ในเครื่องซักแห้งโดยเฉพาะ เครื่องซักแห้งจะใช้น้ำมันเพอร์คลอโรเอทิลีนและควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ แล้วทำการซักไปเรื่อย โดยเพริทก็จะไปละลายไขมันและสิ่งสกปรกบนเสื้อผ้าเรานั้นเอง
พอซักครบกำหนดเวลา เครื่องซักแห้งจะอบโดยน้ำมันจะละเหยลงไปในตัวถังเก็บน้ำมันใช้แล้ว และเมื่อน้ำมันละเหยหมดสนิทประตูของเครื่องจึงจะเปิดออกมาได้อีกครั้งเพื่อนำผ้าออกมา ผ้าก็จะออกมาแบบแห้งเลย
สำหรับเสื้อผ้าที่ควรจะนำมาซักแห้งได้แก่
-เสื้อผ้าที่มีการประดับตกแต่งด้วยเครื่องประดับ เช่นปักเลื่อม ลูกปัด หรือมีโลหะ เสื้อผ้าพวกนี้ มักเป็นงานฝีมือ ต้องแขวนเอาไว้อย่างดี และทำความสะอาดอย่างดีและเบามือด้วย ดังนั้น หากไม่อยากให้เลื่อม ลูกปัดเหล่านี้ เสียหาย ก็ควรจะส่งซักแห้งมากกว่า
-ผ้าไหมสีเข้ม จริงอยู่ว่าผ้าไหมบางอย่าง ก็สามารถซักมือได้ แต่ถ้าเป็นผ้าไหมสีเข้มนั้น ต้องระวังว่าจะมีริ้วรอยเกิดขึ้นที่เนื้อผ้า ดังนั้นการซักแห้งจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
-เสื้อสูท แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่เราทราบกันดีว่าต้องส่งซักแห้ง โดยเฉพาะสูทผ้าขนสัตว์ เพราะมันจะช่วยให้เนื้อผ้ารูปทรงอยู่ตัว และใช้ยืดอายุการใช้งานไปได้อีกนาน
-เสื้อผ้าอัดพลีท ทุกอย่างที่อัดพลีท ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ กระโปรง การเกง ต้องซักแห้ง เพราะมืออาชีพเท่านั้น ที่จะช่วยดูแลผ้าที่อัดกลีบไว้อย่างดีนั้นให้คุณได้
-เสื้อผ้าที่เลอะคราบแบบฝังแน่น มืออาชีพเท่านั้น ที่จะมีอุปกรณ์ขจัดคราบสกปรกแบบครบมือ ดังนั้น หากคราบสกปรกติดแน่น ส่งมืออาชีพให้จัดการจะได้ผลที่ดีกว่า
-ผ้าใยสังเคราะห์ที่มีความบอบบาง ส่วนมากแล้ว เสื้อผ้าพวกนี้ จะติดป้ายแนะนำให้ซักด้วยมือ โดยเฉพาะพวกผ้าเรยอน และโคฟิน ผ้าพวกนี้จะหดตัวเมื่อถูกความร้อน ต้องระมัดระวังในขั้นตอนการซักและอบแห้งมาก
-ผ้าที่มีการบุซับใน ไม่ว่าจะเป็นชุดกระโปรง หรือแจ็คเก็ต เสื้อผ้าพวกนี้ ต้องซักแห้ง เพื่อไม่ให้สิ่งที่บุเอาไว้ภายในนั้นเสียหาย ซึ่งจะทำให้เสียทรง
-เสื้อหนัง แม้ว่าหลายคนจะเห็นว่า เสื้อหนัง ซักเองที่บ้านได้ แต่การที่เรานำไปซักแห้ง จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะทำให้หนังนั้นแห้งแตก และหมดอายุการใช้งานก่อนเวลาอันควร
-เสื้อผ้าขนเฟอร์ เสื้อผ้าพวกนี้ จะมีส่วนของหนังสัตว์ติดมาด้วย แน่นอนว่า หากซักเองที่บ้าน หนังอาจจะแห้ง หด ยิ่งถ้าเป็นขนมิงค์ หรือขนสุนัขป่า ก็ยิ่งต้องระวังเพราะมีความบอบบางมาก
Sources:
www.dryclinique.com
www.เกร็ดความรู้.com
www.sanook.com
#การซักแห้ง #DryCleaning
留言